



การรักษาเส้นเลือดขอด
เส้นเลือดขอด (Varicose Veins) คือภาวะที่เส้นเลือดดำใต้ผิวหนังขยายตัว บวม และบิดเป็นเส้นคล้ายเชือก มักพบที่ขา สาเหตุเกิดจากลิ้นในหลอดเลือดดำทำงานผิดปกติ ทำใ ห้เลือดไหลย้อนกลับและคั่งอยู่ในหลอดเลือด

ฉีดยาทำลายหลอดเลือด
-
ฉีดยาเข้าไปในเส้นเลือดที่ขอด
-
ทำให้ผนังเส้นเลือดติดกันและยุบตัว
-
เหมาะกับเส้นเลือดขอดขนาดเล็กถึงกลาง
-
อาจต้องทำหลายครั้ง

การรักษาด้วยเลเซอร์
-
สอดสายเลเซอร์เข้าไปในหลอดเลือด
-
ใช้พลังงานความร้อนปิดหลอดเลือดที่ผิดปกติ
-
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน

คลื่นวิทยุ
(Radiofrequency Ablation)
-
คล้ายกับเลเซอร์ แต่ใช้คลื่นวิทยุสร้างความร้อน
-
ปิดหลอดเลือดได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

การผ่าตัด (ในรายที่รุนแรงหรือรักษาวิธีอื่นไม่หาย)
-
Stripping: ผ่าตัดนำเส้นเลือดที่ผิดปกติออก
-
Ambulatory Phlebectomy: เจาะผิวหนังขนาดเล็กเพื่อดึงเส้นเลือดขอดออก
-
มักทำร่วมกับการดมยาหรือฉีดยาชาเฉพาะที่

คีลอยด์ คืออะไร ?
คีลอยด์ คือ ประเภทของรอยแผลเป็นชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นแผลนูน แดง มีการขยายใหญ่ออกนอกขอบเขตบาดแผลเดิม อาจมีอาการคัน เจ็บ และรู้สึกผิวตึงรั้งร่วมด้วย เมื่อทิ้งไว้จะคงอยู่และไม่ยุบแบนราบลงได้เอง ยิ่งไปกว่านั้น ในบางรายอาจมีขนาดโตขึ้นกว่าเดิมอีกครับ แม้ว่าแผลคีลอยด์ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่ส่งผลด้านความสวยงามและสภาพจิตใจได้
วิธีรักษาคีลอยด์
การรักษาคีลอยด์มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของคีลอยด์ รวมถึงสภาพผิวของผู้ป่วย วิธีที่ใช้บ่อยในการรักษาคีลอยด์มีดังนี้:
1. การฉีดยาสเตียรอยด์ (Corticosteroid Injections)
เป็นวิธีการรักษาที่นิยม ใช้ฉีดสเตียรอยด์เข้าสู่คีลอยด์เพื่อลดการอักเสบและการสร้างคอลลาเจน ช่วยทำให้คีลอยด์ยุบลง แต่ต้องทำหลายครั้งและใช้เวลาต่อเนื่อง
2. **การใช้แผ่นซิลิโคน (Silicone Sheets)
แผ่นซิลิโคนใช้ปิดทับบริเวณคีลอยด์ ช่วยให้แผลนุ่มขึ้นและลดการนูน สามารถใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
3. การทำเลเซอร์ (Laser Therapy)
ใช้แสงเลเซอร์ในการลดขนาดคีลอยด์และช่วยให้สีของแผลจางลง การทำเลเซอร์อาจต้องทำหลายครั้งและต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
4. การผ่าตัด (Surgical Excision)
ในกรณีที่คีลอยด์มีขนาดใหญ่และไม่ตอบสนองต่อวิธีอื่น แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดออก แต่มีความเสี่ยงที่คีลอยด์จะกลับมาใหม่ได้ แพทย์มักใช้การฉีดยาสเตียรอยด์หรือทำเลเซอร์ร่วมด้วยหลังผ่าตัดเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
5. การฉายรังสี (Radiation Therapy)
ใช้รังสีความเข้มต่ำฉายไปยังบริเวณคีลอยด์เพื่อลดการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ วิธีนี้มักใช้หลังการผ่าตัดเพื่อป้องกันไม่ให้คีลอยด์กลับมาอีก
6. การใช้แรงกด (Pressure Therapy)
ใช้แถบผ้าหรืออุปกรณ์กดทับบริเวณคีลอยด์เพื่อลดการนูนและป้องกันไม่ให้ขยายตัว วิธีนี้มักใช้กับแผลที่เกิดจากการผ่าตัดหรืออุบัติเหตุ
7. การใช้ยาทาหรือเจลรักษาแผลเป็น
เช่น ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์หรือสารสกัดจากพืชสมุนไพร ซึ่งสามารถช่วยลดรอยแผลเป็นได้ในบางกรณี
การรักษาคีลอยด์มักต้องใช้เวลานานและอาจต้องผสมผสานหลายวิธี ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
คีลอยด์ มีกี่ประเภท สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลัก ๆ ตามลักษณะและความรุนแรง ดังนี้:


1. คีลอยด์ชนิดเริ่มต้น (Early Keloid)
- เป็นคีลอยด์ที่เริ่มพัฒนาในช่วงแรกหลังแผลหาย โดยมักเกิดในช่วง 3-6 เดือนหลังแผลเริ่มสมาน
- ลักษณะจะเป็นก้อนนูนขึ้นมาเล็กน้อย สีมักจะเป็นสีแดงหรือสีชมพู และอาจรู้สึกคันหรือเจ็บ
- คีลอยด์ชนิดนี้สามารถรักษาได้ง่ายกว่าหากเริ่มการรักษาตั้งแต่แรก เช่น การใช้ซิลิโคนเจลหรือการกดทับ
2. คีลอยด์ชนิดเรื้อรัง (Mature Keloid)
- เป็นคีลอยด์ที่พัฒนาเป็นระยะเวลานานมากกว่า 6 เดือนจนถึงหลายปี
- มีลักษณะนูนมากขึ้น หนาขึ้น และอาจมีสีคล้ำ เช่น สีน้ำตาลหรือสีม่วง
- อาจขยายตัวและมีขนาดใหญ่กว่าบริเวณแผลเดิมอย่างมาก การรักษาจะยากขึ้นและต้องใช้วิธีทางการแพทย์ที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์หรือการทำเลเซอร์
คีลอยด์ทั้งสองชนิดนี้มีสาเหตุจากการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ผิดปกติและการสร้างคอลลาเจนเกินควร ดังนั้นควรได้รับการดูแลและรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันการลุกลามของแผล
01 สาเหตุของการเกิดคีลอยด์
คีลอยด์เกิดจากการที่เนื้อเยื่อผิวหนังซ่อมแซมตัวเองผิดปกติหลังจากที่เกิดแผล เมื่อแผลเริ่มหาย ผิวหนังจะสร้างคอลลาเจนมากเกินไป ส่งผลให้เนื้อเยื่อส่วนเกินหนาตัวและขยายออกนอกบริเวณแผลเดิม คีลอยด์จะมีลักษณะเป็นแผลหนา นูน และอาจมีสีเข้มหรือแดง สาเหตุหลักของการเกิดคีลอยด์มีดังนี้
1. พันธุกรรม : บางคนมีแนวโน้มเกิดคีลอยด์จากพันธุกรรม ถ้าคนในครอบครัวมีประวัติเป็นคีลอยด์ โอกาสที่เราจะเกิดคีลอยด์จะสูงขึ้น
2. การบาดเจ็บหรือแผล : คีลอยด์มักเกิดจากแผลต่าง ๆ เช่น แผลจากการผ่าตัด แผลจากการฉีดยา แผลสิว แผลจากการเจาะหู หรือแผลจากอุบัติเหตุ
3. การอักเสบของแผล: ถ้าแผลมีการติดเชื้อหรืออักเสบ จะทำให้แผลใช้เวลาหายช้านานขึ้น และมีโอกาสที่จะเกิดคีลอยด์สูง
4. ประเภทของผิวหนัง : คนที่มีผิวสีเข้มมีแนวโน้มที่จะเกิดคีลอยด์มากกว่าคนที่มีผิวสีอ่อน
5. อายุ : วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดคีลอยด์มากกว่าวัยอื่น เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์มาก
6. บริเวณที่เกิดแผล : แผลที่เกิดในบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมาก เช่น ไหล่ หน้าอก หรือหลัง จะมีโอกาสเกิดคีลอยด์สูงกว่า


-
หน้าอกและไหล่
-
หลังส่วนบน
-
ใบหู
-
กรามและแก้ม
02 บริเวณที่พบคีลอยด์บ่อย
การดูแลแผลเพื่อป้องกันการเกิดคีลอยด์มีวิธีดังนี้
1. รักษาความสะอาดของแผล ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อน ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และเปลี่ยนผ้าปิดแผลอย่างสม่ำเสมอ
2. การใช้แผ่นซิลิโคนเจล (Silicone Gel Sheets) แผ่นซิลิโคนช่วยป้องกันการเกิดคีลอยด์ โดยการช่วยให้แผลนุ่มขึ้นและลดการสร้างเนื้อเยื่อส่วนเกิน
3. ทายาเพื่อลดการอักเสบ ครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หรือครีมลดรอยแผลเป็นสามารถช่วยลดการอักเสบและการเกิดคีลอยด์ได้
4. การใช้แรงกดที่แผล (Pressure Therapy) ใช้ผ้าพันแผลหรืออุปกรณ์กดทับบริเวณแผลเพื่อลดโอกาสการเกิดคีลอยด์
5. เลี่ยงการสัมผัสแผลมากเกินไป อย่าเกาแผลหรือกดทับแผล เพราะอาจทำให้แผลมีการระคายเคืองและทำให้คีลอยด์เกิดขึ้นได้
6. **การหลีกเลี่ยงแสงแดด**: ปกปิดแผลจากแสงแดดโดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรก เพราะรังสี UV อาจทำให้แผลคล้ำและทำให้คีลอยด์เห็นชัดเจนขึ้น
7. **การปรึกษาแพทย์**: หากเริ่มมีอาการของคีลอยด์ เช่น แผลหนาขึ้น คัน หรือบวม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์ การทำเลเซอร์ หรือการผ่าตัด
03 วิธีการการดูแลแผลไม่ให้เป็นคีลอยด์

-
รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบจนหมด หากแพ้ยาชนิดใด แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง หากรับประทานยาแล้วมีผื่นแดง บวม ให้หยุดยาแล้วมาพบแพทย์
-
ห้ามแผลโดนน้ำจนกว่าจะตัดไหม แพทย์จะนัดติดตามดูอาการ ทำแผลตามความเหมาะสม
-
หลังศัลยกรรม จะบวมมากที่สุด 3 วันแรก และเริ่มยุบบวมเข้าที่ขึ้นเรื่อยๆ ช้าเร็วขึ้นกับร่างกายของแต่ละบุคคล
-
งดออกกำลังกาย ยกของหนัก การกระแทกกระทบกระเทือน หรือกิจกรรมใดๆ ที่เสี่ยงทำให้แผลแยก
-
หลังตัดไหม สามารถทายาลดรอยแผลเป็นได้ การดูแลแผล เฝ้าระวังแผลเป็น แพทย์จะนัดติดตามเป็นระยะ
-
คีลอยด์ที่ตัดไปแล้วมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้ ดังนั้นคนไข้ควรมาติดตามนัด หากมีความจำเป็นแพทย์จะฉีดยากันคีลอยด์ตามเหมาะสม
04 การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดคีลอยด์
Q&A ที่พบบ่อย ?


หลุมสิว 3 ประเภท
หลุมสิว (Acne Scars) คือรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบที่หายแล้วแต่ทิ้งร่องรอยลึกไว้ในชั้นผิว เนื่องจากการสูญเสียคอลลาเจนหรือการอักเสบลึกที่ผิวหนัง
หลุมสิวสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ตามลักษณะรูปร่าง ดังนี้:

ประเภท1
หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar
-
ลักษณะ: รูปร่างคล้ายรูเข็มหรือรูปลิ่ม ขนาดเล็ก ลึก ปลายแหลม
-
สาเหตุ: สิวอักเสบลึกมากทำลายเนื้อเยื่อผิวหนัง
-
ความยากในการรักษา: สูง เนื่องจากลึกถึงชั้นผิวหนังแท้

ประเภท2
หลุมสิวแบบ Boxcar Scar
-
ลักษณะ: ขอบหลุมชัด ขนาดกลางถึงใหญ่ เป็นทรงเหลี่ยมหรือวงรี ลึกปานกลาง
-
พบบ่อยบริเวณ: แก้ม ขมับ
-
ความยากในการรักษา: ปานกลาง ขึ้นอยู่กับความลึก

ประเภท3
หลุมสิวแบบ Rolling Scar
-
ลักษณะ: ผิวเป็นคลื่นเว้า ๆ ไม่มีขอบชัด ลึกไม่มาก
-
สาเหตุ: เนื้อเยื่อพังผืดใต้ผิวหนังดึงรั้งผิว
-
พบบ่อยที่: แก้มด้านล่าง
-
ความยากในการรักษา: ปานกลาง โดยเน้นการตัดพังผืดร่วมกับเลเซอร์

เลเซอร์ - ยกกระชับ (ไม่ผ่าตัด)
เลเซอร์ยกกระชับผ ิวหน้าเป็นการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนัง ซึ่งจะช่วยให้ผิวกระชับขึ้น ลดริ้วรอยและทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น
เลเซอร์ - ใบหน้า (ไม่ผ่าตัด)
เลเซอร์กระชับหน้ากระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวหนังชั้นลึก ซึ่งช่วยปรับผิวที่หย่อนคล้อยให้ดูเรียบตึงมากขึ้น ยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด สำหรับผู้ที่มีริ้วรอยบริเวณใบหน้า ลำคอ หรือกรอบหน้า
Laserยกกระชับใบหน้า จะสามารถช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้เรียบเนียนและอ่อนเยาว์ ซึ่งในปัจจุบันเลเซอร์ยกกระชับหน้าราคาไม่สูง ขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์ เลเซอร์ยกกระชับและเลเซอร์กระชับหน้า เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้น และอยากได้ผลลัพธ์ไม่เร่งรีบ
ยกกระชับลำตัว
การเลเซอร์สลายไขมันลำตัว ไม่ต้องผ่าตัดเป็นวิธีที่ไม่ต้องเจ็บตัวและไม่ทิ้งรอยแผล ฟื้นตัวไว สลายไขมันด้วยเลเซอร์ใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อทำลายเซลล์ไขมันในชั้นผิวหนัง การเลเซอร์ลดไขมันในปัจจุปันมีหลายวิธีที่คนนิยมมากที่สุด คือการการเลเซอร์ลดเหนียง เลเซอร์ปรับรูปหน้าให้ดูเรียวกระชับปรับรูปหน้าให้ดูเรียวกระชับ
เลเซอร์ - แก้ไขรอยดำในที่ลับ
รอยดำในที่ลับสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยการเสียดของผิวหนัง การเสียดของเสื้อผ้า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนความเสื่อมของเซลล์ผิวหนังหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพสูงในปัจจุบันคือ การรักษาเลเซอร์ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและช่วยให้ผิวบริเวณดังกล่าวขาวขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

แก้ไขหัวนมดำ
เลเซอร์รักษาหัวนมดำเป็นวิธีการแก้ปัญหาหัวนมดําโดยใช้พลังงานแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะเจาะจง ทำลายเม็ดสีเมลานินที่ทำให้บริเวณหัวนมมีสีเข้มเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติซึ่งการเลเซอร์ถือว่าเป็นทางเลือกที่ทันสมัยแก้ปัญหาหัวนมดำได้ผลรวดเร็วและหมดปัญหาหัวนมคลํ้าฟื้นฟูสีผิวบริเวณหัวนมกลับมาเป็นปกติได้อย่างปลอดภัย หัวนมดําแก้ไขได้หลายวิธี เช่น เลเซอร์หัวนม และอีกวิธีหนึ่งคือการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหัวนม

แก้ไขร่องก้นดำ
วิธีแก้ร่องก้นดำและวิธีทำให้ร่องก้นขาวโดยการใช้เลเซอร์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเห็นผลเร็วในการลดความหมองคล้ำของร่องก้น โดยเลเซอร์ร่องก้นจะช่วยปรับสีผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาร่องก้นดำแบบเร่งด่วน
เลเซอร์ริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น
การรักษาผิวหนังปัญหาผิวพรรณเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ความหย่อนคล้อยของผิวหนัง เช่น หลังมือเหี่ยวย่น ร่องแก้มและร่องน้ำตาลึก เป็นผลจากการลดลงของคอลลาเจน อีลาสตินมีวิธีการรักษามากมายที่ช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวม่ว่าจะเป็นการใช้สารเติมเต็ม (Filler) การกระตุ้นคอ ลลาเจนด้วยเลเซอร์ หรือการฟื้นฟูผิวด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งสามารถปรับปรุงผิวที่เสื่อมโทรมให้กลับมาดูสดใสและอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง

แก้ไขหลังมือเหี่ยวย่น
ปัญหา ฝ่ามือเหี่ยว,หลังมือย่น และ หนังมือเหี่ยว เป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น มือเหี่ยว,มือย่น อาจจะเกิดจากปัจจัยอื่นๆได้ เช่น การสัมผัสสารเคมี แสงแดด หรือการขาดการบำรุงผิวโดย วิธีแก้มือเหี่ยวกระทําได้โดยการทำทรีตเมนต์มือหรือ ทำทรีตเมนต์ที่คลินิกเสริมความงามเพื่อทําการรักษามือเหี่ยว เช่นฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มร่องลึกและฟื้นฟูความอวบอิ่มให้หลังมือฉีดไขมัน(Fat Transfer)นำไขมันส่วนอื่นของร่างกายมาเติมเต็มบริเวณมือ เลเซอร์ผิวกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อแก้ปัญหามือเหี่ยวย่น

แก้ไขร่องแก้ม, ร่องน้ำตา
(Tear Trough, Ulthera)
วิธีการรักษาแก้ไขร่องแก้มลึกและร่องนํ้าหมากแกไขได้โดยใช้วิธีรักษาด้วยการทำอัลเทอร่า (Ultherapy) หรือเทอร์มาจ (Thermage) ซึ่งร่องน้ำหมากแก้ด้วยเทคนิคการใช้พลังงานคลื่นเสียงหรือคลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึกช่วยยกกระชับผิวและลดเลือนแก้ร่องน้ำหมากและร่องแก้มลึกแก้ไขได้ด้วยวิธีการนี้ควบคู่กันโดยที่ไม่ต้องผ่าตัดผลลัพธ์อยู่ได้นาน ไม่ต้องพักฟื้นเห็นผลอย่างเป็นธรรมชาติ

-
โรคเส้นเลือดของผิวหนัง เช่น ปานแดง เส้นเลือดฝอยแตก เส้นเลือดขอดต่าง ๆ
-
โรคของเม็ดสีผิวหนัง เช่น ไฝ ปานดำ รอยดำจากสิว
-
การลบรอยสัก ซึ่งการเลือกเลเซอร์ขึ้นอยู่กับสี ความลึก และลักษณะทางเคมีของหมึกสัก
เลเซอร์ยกกระชับ คืออะไร?
เลเซอร์ยกกระชับผิวหน้า คือเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้พลังงานจากแสงอินฟราเรด (Infrared Light) เพื่อเข้าไปยกกระชับผิวโดยการส่งความร้อน
ไปยังคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวหนังเกิดการหดตัวทำให้ดูผิวกระชับขึ้น ซึ่งวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีแผลหรืออาการเจ็บปวดใดๆ ตามมา
เลเซอร์แก้ไขรอยดำในที่ลับ คืออะไร?
รอยดำ เป็นรอยแผลเป็นตามธรรมชาติแล้วก็จะจางหายไป แต่ใช้เวลานานมาก การ เลเซอร์รอยดำ จะช่วยให้รอยดำที่หายยากและรักษายากนั้นหายไป การทำเลเซอร์ อย่างน้อย 4-5 ครั้ง ต่อเนื่องทุก ๆ 2-3 สัปดาห์ จะทำให้รอยดำนั้นดูจางลงอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีผลข้างเคียงอีกด้วย
เลเซอร์ ผิวหนังแก้ปัญหาอะไรบ้าง?
